"สรุปแนวทางเพื่อการพัฒนาลำไยสู่ความยั่งยืน"
"สรุปแนวทางเพื่อการพัฒนาลำไยสู่ความยั่งยืน"
สวท.ลำพูน สานต่อโครงการป้องกันและแก้ไขปัญหาลำไย ปี 55 จัดเสวนา "ลำพูนคือลำไย ลำไยคือลำพูน สู่การพัฒนาที่ยั่งยืน" ภาครัฐและเกษตรกรฟันธงเสียงเดียวกัน แนวทางสู่ความยั่งยืนคือการพัฒนาผลผลิตให้ได้มาตรฐานและมีคุณภาพ
นางเพ็ญจันทร์ มหาชนก ผู้อำนวยการสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทยจังหวัดลำพูน เปิดเผยว่า ได้รับมอบหมายให้ดำเนินโครงการประชาสัมพันธ์ป้องกันและแก้ไขปัญหาลำไย ประจำปีงบประมาณ 2555 จากคณะกรรมการนโยบายและมาตรการช่วยเหลือเกษตรกร (คชก) โดยทำการประชาสัมพันธ์มาตรการป้องกันและแก้ไขปัญหาลำไยในพื้นที่ภาคเหนือผ่านสื่อวิทยุกระจายเสียง และกำหนดให้มีการจัดเวทีเสวนาเพื่อให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการหาแนวทางแก้ไขปัญหาลำไย และการพัฒนาผลผลิตลำไยจากภาคส่วนต่างๆ อย่างยั่งยืน ถ่ายทอดเสียงออกอากาศทางสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทยจังหวัดลำพูน FM 95 MHz ทั้งนี้ จึงได้จัดเวทีเสวนา“ลำพูนคือลำไย ลำไยคือลำพูน สู่การพัฒนาที่ยั่งยืน” ขึ้น ณ ลานเอนกประสงค์ตลาดถุงทอง ต.หนองช้างคืน อ.เมือง จ.ลำพูน เมื่อช่วงบ่ายวันอาทิตย์ ที่ 22 กรกฎาคม 2555 ที่ผ่านมาสำหรับการจัดเวทีเสวนา “ลำพูนคือลำไย ลำไยคือลำพูน สู่การพัฒนาที่ยั่งยืน” มีชาวสวนลำไยลำพูนกว่า 50 คน เข้าร่วมเสวนาเพื่อสะท้อนถึงปัญหาที่เกษตรกรชาวสวนลำไยลำพูนกำลังประสบ พร้อมกับข้อคิดเห็นจากผู้เชี่ยวชาญแต่ละด้านร่วมสรุปแนวทางการแก้ไข เพื่อให้ลำไยคู่กับคนลำพูนอย่างยั่งยืนนายถนอม สุริยะ หัวหน้ากลุ่มส่งเสริมและพัฒนาการผลิต สำนักงานเกษตรจังหวัดลำพูน กล่าวว่า จังหวัดลำพูนเริ่มเพาะปลูกลำไยอย่างจริงจังตั้งแต่ปี 2520 โดยมีการเปลี่ยนแปลงนาเป็นพื้นที่เพาะปลูกลำไย นับถึงปัจจุบันจังหวัดลำพูน มีพื้นที่เพาะปลูกลำไยรวม 2 แสน 7 หมื่นไร่ ขณะที่จังหวัดเชียงใหม่มีจำนวนพื้นที่การเพาะปลูกมากกว่าที่ 3 แสน 3 หมื่นไร่ แต่หากเปรียบเทียบความกว้างของพื้นที่แล้ว จึงทำให้จังหวัดลำพูนได้รับการขนานนามว่า “ลำพูน คือ ลำไย ลำไย คือ ลำพูน” เนื่องจากมีความหนาแน่นของการเพาะปลูกมากว่า ขณะที่ 8 จังหวัดภาคเหนือตอนบนมีพื้นที่เพาะปลูกลำไยอยู่ที่ 8 แสน 8 หมื่นไร่ และทั่วทั้งประเทศอยู่ที่ 1 ล้านไร่โดยประมาณ
หัวหน้ากลุ่มส่งเสริมและพัฒนาการผลิต กล่าวเพิ่มเติมว่าในปี 2555 นี้ จังหวัดลำพูนจะมีผลผลิตออกสู่ท้องตลาดประมาณ 1 แสน 7 หมื่นตัน กำหนดว่าจะจำหน่ายเป็นผลผลิตสดร้อยละ 60 แปรรูปร้อยละ 40 และยังได้สะท้อนปัญหาที่เกษตรกรชาวสวนลำไยลำพูนพบว่า ต้นลำไยที่ให้ผลผลิตในปัจจุบันมีอายุยาวนาน ส่งผลให้ผลิตที่ได้มีคุณภาพไม่เป็นไปตามาตรฐานที่กำหนด ขณะเดียวกันเป็นสวนลำไยของเกษตรกรรายย่อยซึ่งไม่คุ้มค่าต่อการลงทุน ประกอบกับสภาพอากาศในปัจจุบันมีการเปลี่ยนแปลงไปจึงเป็นผลต่อการติดดอกออกผลของลำไยลำพูนด้านนางสุมิตรา อภิชัย สหกรณ์จังหวัดลำพูน เปิดเผยว่า ปัจจุบันลำไยลำพูนสามารถกระจายผลผลิตไปสู่ความต้องการของผู้บริโภคระดับบน ทั้งในและนอกประเทศเป็นจำนวนมาก แต่ผลผลิตลำไยลำพูนที่ได้มาตรฐานนั้นยังไม่เพียงพอต่อความต้องการ สาเหตุส่วนหนึ่งมาจากเกษตรกรไม่เลือกที่จะขายลำไยลักษณะสดช่อ เพราะราคาส่วนต่างของการรูดร่วงดึงดูดใจไม่เพียงพอ ขณะที่ค่าจ้างแรงงานนั้นพบว่าเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่ราคาผลผลิตไม่มีการปรับขึ้น นอกจากนี้ยังพบอุปสรรคว่า เกษตรกรยังไม่สามารถกำหนดลำไยให้เป็นมาตรฐานเดียวกันได้ ยังมีการปลอมปนผลผลิตคุณภาพด้อยกว่าอย่างต่อเนื่อง
นายเกรียงไกร ก้อนแก้ว นายกเทศมนตรีตำบลหนองช้างคืน ในฐานะปราชญ์เกษตรของแผ่นดินจังหวัดลำพูน ร่วมสะท้อนปัญหาว่า การผลิตลำไยลำพูนยังไม่เป็นไปตามหลักวิชาการอย่างแท้จริง ทั้งด้านของดิน พื้นที่เพาะปลูก และลำต้น เห็นได้จากจังหวัดลำพูนได้เปลี่ยนแปลงนามาเป็นพื้นที่ปลูกลำไย ดินในลักษณะดังกล่าวนี้ไม่เหมาะสมต่อการเพาะปลูกลำไย เพราะรากของลำไยไม่สามารถลงไปได้ลึกเพียงพอ ซึ่งตามหลักวิชาการแล้วรากจะต้องหยั่งลึกลงไปในดินประมาณ 1 เมตร ประกอบกับเกษตรกรส่วนใหญ่ยังเห็นว่าหากได้จำนวนผลผลิตมาก ติดดอกออกผลทุกปีจะเป็นการเพิ่มรายได้ โดยไม่คำนึงถึงคุณภาพของผลผลิตที่ได้รับ ต้นลำไยในปัจจุบันจึงทรุดโทรมตามกาลเวลา ขณะเดียวกันความต้องการด้านของแรงงานที่ไม่เพียงพอยังเป็นอีกปัจจัยที่ยากต่อการก้าวสู่ความยั่งยืนได้นายวิชาญ จาระธรรม สมาชิกสภาเกษตรกรแห่งชาติจังหวัดลำพูน มองปัญหาที่ทำให้ลำไยลำพูนไม่สามารถพัฒนาสู่ความยั่งยืนได้ คือ ราคาลำไยที่เกษตรกรไม่สามารถกำหนดเองได้ ยังต้องให้ตลาดปลายทาง ซึ่งเป็นตลาดเดียวนั้น เป็นผู้กำหนด บางปีเกษตรกรพอคุ้มทุน บางปีเกษตรกรพอมีกำไร แต่บางปีเกษตรกรไม่เหลือแม้แต่ต้นทุนการผลิต เหลือเพียงหนีสินที่ต้องผ่อนชำระแบบทบต้นทบดอกต่อไป พร้อมทั้งระบุอีกว่า ตั้งแต่เริ่มเป็นเกษตรกรทำสวนลำไยมาจนถึงปัจจุบันเกือบ 40 ปี ยังไม่เคยพบว่าราคาลำไยในท้องตลาดปรับเพิ่มตามต้นทุนการผลิตที่เพียงพอเลย
ด้านตัวแทนจากแหล่งสนับสนับสนุนเงินทุนอย่างธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธกส.) นายวิทยา อุปพงษ์ ผู้จัดการ ธกส. สาขาป่าซาง ให้ข้อมูลว่า กว่า 10 ปีแล้ว ที่เกษตรกรชาวสวนลำไยมีหนี้สินผูกพันกับ ธกส. นับรวมมูลค่าหนี้สินของเกษตรกรเชียงใหม่-ลำพูน มีวงเงินประมาณหมื่นล้านบาท ด้วยเหตนี้ ธกส.จึงมีโครงการสำรวจปัญหาที่เกษตรกรไม่สามารถผ่อนชำระหนี้สินได้ตามกำหนด และจากการศึกษาและเก็บข้อมูลพบว่าเกษตรกรนำเงินกู้ที่ได้รับ มาแก้ปัญหาเฉพาะหน้า ไม่ได้แก้ปัญหาที่ต้นเหตุ ซึ่งคือการเพิ่มคุณภาพและการลดต้นทุนอย่างจริงจัง
นอกจากนี้ตัวแทนชาวสวนลำไยลำพูนที่เข้าร่วมเสวนาลำพูนคือลำไย ลำไยคือลำพูน สู่การพัฒนาที่ยั่งยืน ดร.นิกร ยาอินตา เห็นว่าเกษตรกรผู้ปลูกลำไยส่วนใหญ่ทำการเพาะปลูกด้วยความไม่เข้าใจและไม่ใส่ใจอย่างจริงจัง เป็นการดำเนินการผลิตที่หลงเชื่อการใช้เทคโนโลยีใหม่ๆ ที่ทำให้ต้นทุนการผลิตเพิ่มสูงขึ้น มีการเลือกใช้สารเคมีหรือปุ๋ยเคมี ส่งผลให้ต้นลำไยที่มีอายุยาวนานเสื่อมโทรมลง และมองไม่เห็นแนวทางเพื่อการฟื้นฟูที่ถูกต้องจากการสะท้อนปัญหาของตัวแทนจากส่วนต่างๆและเกษตรกรชาวสวนลำไยลำพูน พอจะมองได้ว่าเกษตรกรผู้ปลูกลำไยลำพูนยังมีปัญหาด้านการผลิต ที่เป็นอุปสรรคให้ลำไยลำพูนนั้นไม่สามารถพัฒนาสู่ความยั่งยืนได้ โดยหากปล่อยให้สถานการณ์ลำไยเดินทางในลักษณะที่เป็นปัญหาดังกล่าวเหล่านี้ ท้ายที่สุดการประกอบอาชีพชาวสวนลำไยจะลดน้อยลงอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ หากเริ่มหาแนวทางเพื่อแก้ไขปัญหาและเริ่มดำเนินการกันตั้งแต่วันนี้ คงสามารถยื้อเวลาอาชีพเกษตรกรผู้ปลูกลำไยต่อไปได้อีกระยะหนึ่งก่อนที่จะเหลือเพียงประวัติศาสตร์ให้ลูกหลานได้ศึกษาเท่านั้นนายถนอม สุริยะ หัวหน้ากลุ่มส่งเสริมและพัฒนาการผลิต สำนักงานเกษตรจังหวัดลำพูน กล่าวว่า ช่วงนี้เกษตรกรกำลังเก็บเกี่ยวผลผลผลิต จึงอยากให้เกษตรกรผู้เป็นเจ้าของสวนได้ใส่ใจการเก็บเกี่ยวอย่างถูกวิธี โดยไม่หักกิ่งลำไยยาวเกินความจำเป็นเพราะเห็นว่าเก็บเกี่ยวง่าย ควรหักตรงต้นขั้วของพวงลำไย เพราะจะเป็นการตัดแต่งกิ่งลำไยไปพร้อมเดียวกัน ส่วนแนวทางการดำเนินการเพื่อส่งเสริมลำไยลำพูนอย่างยั่งยืนนั้น ขณะนี้ภาครัฐได้ขอสนับสนุนงบประมาณจากรัฐบาลจำนวน 800 ล้านบาท เพื่อมาดำเนินการส่งเสริมลดต้นทุนการผลิต และเพิ่มผลผลิตต่อไร่ให้สูงขึ้น พร้อมเดียวกันยังเน้นเรื่องความปลอดภัยและปรับปรุงลำไยไปพร้อมกัน ผ่านกลยุทธ์ที่กำหนดไว้ คือ จะต้องเพิ่มสัดส่วนผลผลิต AA ต่อสวนให้มากขึ้น สนับสนับสนุนส่งเสริมให้ความรู้ทางวิชาการแก่เกษตรกรพร้อมกับสนับสนุนงานวิจัยเพื่อการพัฒนาผลผลิตให้เหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบัน มองหาแนวทางการยกระดับราคาลำไยและส่งเสริมแนวทางการประชาสัมพันธ์ให้เห็นคุณค่าของลำไยลำพูน และลำไยภาคเหนือต่อไป
นางสุมิตรา อภิชัย สหกรณ์จังหวัดลำพูน เห็นว่าแนวทางที่เกษตรกรจะต้องดำเนินการให้สอดคล้องกับตลาดที่ผู้บริโภคต้องการ คือการเพิ่มคุณภาพลำไยให้ได้มาตรฐาน โดยอาจดำเนินการผ่านรูปแบบของสหกรณ์ในพื้นที่ได้ ยืนยันพร้อมสนับสนุนเงินทุนเพื่อพัฒนาผลผลิตให้ได้คุณภาพ มุ่งพัฒนาสหกรณ์ในพื้นที่เข้มแข็งแบบพี่ช่วยน้อง เพื่อให้เกษตรกรสามารถยืนหยัดด้วยตัวเองได้อย่างยั่งยืนนางเกรียงไกร ก้อนแก้ว นายกเทศมนตรีตำบลหนองช้างคืน ในฐานะปราชญ์เกษตรของแผ่นดินจังหวัดลำพูน กล่าวสนับสนุนแนวทางเพื่อพัฒนาคุณภาพผลผลิตลำไยว่า เกษตรกรควรก้าวตามยุคสมัยอย่างรู้เท่าทัน เรียนรู้หลักวิชาการมาปรับใช้พร้อมกับนำเทคโนโลยีมาใช้อย่างเข้าใจ ขณะเดียวกันหน่วยงานของกระทรวงเกษตรจะต้องสนับสนุนข้อมูลด้านวิชาการในการพัฒนาคุณภาพผลผลิตอย่างจริงจัง ก่อเกิดความเชื่อและความศรัทธาจากสิ่งที่ได้เห็นผลว่าเป็นจริงได้ แนะเกษตรกรคืนสู่แนวทางทำการเกษตรแบบอินทรีย์เพื่อการยืดอายุต้นลำไยให้นานกว่าเดิม
ด้านสถาบันเงินทุนหลักของเกษตรกรอย่าง ธกส. นายวิทยา อุปพงษ์ ผู้จัดการ ธกส. สาขาป่าซาง กล่าวเน้นย้ำว่า ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรนั้น มีนโยบายที่จะสนับสนุนเงินทุนให้เกษตรกร เพื่อให้เกษตรกรสามารถพึ่งพาตนเองได้นั้น พร้อมที่จะสร้างโอกาสและสร้างรายได้ให้เกษตรกรไปพร้อมเดียวกันด้วย แต่อย่างไรก็ตามหากเกษตรกรผู้ปลูกลำไยได้มุ่งเน้นพัฒนาคุณภาพอย่างจริงจัง ขณะเดียวกันสามารถที่จะศึกษาหาแนวทางเพื่อลดต้นทุนการผลิต ไม่ว่าจะเป็นการทำลำไยนอกฤดู หรือการแปรรูป ประกอบกับภาคส่วนที่เกี่ยวข้องได้ร่วมกันมองหาตลาดที่กว้างขึ้น จะสามารถทำให้ลำไยไม่กลายเป็นเพียงประวัติศาสตร์ไปอย่างแน่นอนนายวิชาญ จาระธรรม สมาชิกสภาเกษตรกรแห่งชาติจังหวัดลำพูน แนวทางที่จะทำให้ราคาผลผลิตลำไยนั้นสูงขึ้นตามต้นทุนการผลิตแล้วนั้นว่า สิ่งที่จะทำให้เกษตรกรสามารถกำหนดราคาขายลำไยเองได้ คือการทำลำไยให้เป็นที่ต้องการของตลาดอย่างแท้จริง ผลผลิตที่ได้จะต้องมีคุณภาพควรค่าต่อการต่อรองราคา ดังนั้น วันนี้เกษตรกรจึงควรทำสวนลำไยด้วยใจที่มุ่งมั่น ศรัทธา ทำบนพื้นฐานของความเข้าใจ ระบุ ต้นลำไยไม่มีปากที่จะบอกได้ว่าต้องการหรือไม่ต้องการสิ่งใด แต่เกษตรกรสามารถทำตามความต้องการของต้นลำไยได้ จากการสังเกตใส่ใจและเรียนรู้อย่างสม่ำเสมอ
ดังนั้นสิ่งที่ได้จากการเสวนาในครั้งนี้ ทำให้รู้ว่าแนวทางเพื่อการพัฒนาลำไยอย่างยั่งยืนนั้น คือ เกษตรกรจะต้องพัฒนาการผลิตลำไยเพื่อให้ได้มาซึ่งลำไยที่ได้มาตรฐานมีคุณภาพอย่างแท้จริงสุดท้ายแล้วแนวทางการแก้ปัญหาลำไยในปัจจุบัน ตลอดจนการทำให้ลำไยให้ก้าวสู่การพัฒนาที่ยั่งยืนได้นั้น คงไม่ได้เกิดจากปัจจัยหลักที่ขาดงบประมาณในการดำเนินการ หรือจะต้องรอส่วนงานใดเอื้อมมือเข้ามาช่วย แต่น่าจะเป็นการเริ่มต้นจากการลงทุนด้วยความศรัทธา ด้วยความมุ่งมั่น ตั้งใจของเกษตรกรที่จะนำมาเพื่อความสำเร็จบนพื้นฐานของความพอเพียง
“วันนี้ผมว่าเกษตรกรควรหันมาน้อมนำแนวทางตามพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มาปรับใช้ในการทำสวนลำไยบนพื้นที่ไม่มากด้วยการยึดหลักความพอเพียง เลือกทำการเกษตรกรแบบผสมผสาน ซึ่งจะช่วยให้เกษตรกรยังมีสวนลำไยต่อไป และพอมีกำไรจากอาชีพเกษตรกร” ดร.นิกร ยาอินตา กล่าว
นางเพ็ญจันทร์ มหาชนก ผู้อำนวยการสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทยจังหวัดลำพูน เปิดเผยว่า ได้รับมอบหมายให้ดำเนินโครงการประชาสัมพันธ์ป้องกันและแก้ไขปัญหาลำไย ประจำปีงบประมาณ 2555 จากคณะกรรมการนโยบายและมาตรการช่วยเหลือเกษตรกร (คชก) โดยทำการประชาสัมพันธ์มาตรการป้องกันและแก้ไขปัญหาลำไยในพื้นที่ภาคเหนือผ่านสื่อวิทยุกระจายเสียง และกำหนดให้มีการจัดเวทีเสวนาเพื่อให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการหาแนวทางแก้ไขปัญหาลำไย และการพัฒนาผลผลิตลำไยจากภาคส่วนต่างๆ อย่างยั่งยืน ถ่ายทอดเสียงออกอากาศทางสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทยจังหวัดลำพูน FM 95 MHz ทั้งนี้ จึงได้จัดเวทีเสวนา“ลำพูนคือลำไย ลำไยคือลำพูน สู่การพัฒนาที่ยั่งยืน” ขึ้น ณ ลานเอนกประสงค์ตลาดถุงทอง ต.หนองช้างคืน อ.เมือง จ.ลำพูน เมื่อช่วงบ่ายวันอาทิตย์ ที่ 22 กรกฎาคม 2555 ที่ผ่านมาสำหรับการจัดเวทีเสวนา “ลำพูนคือลำไย ลำไยคือลำพูน สู่การพัฒนาที่ยั่งยืน” มีชาวสวนลำไยลำพูนกว่า 50 คน เข้าร่วมเสวนาเพื่อสะท้อนถึงปัญหาที่เกษตรกรชาวสวนลำไยลำพูนกำลังประสบ พร้อมกับข้อคิดเห็นจากผู้เชี่ยวชาญแต่ละด้านร่วมสรุปแนวทางการแก้ไข เพื่อให้ลำไยคู่กับคนลำพูนอย่างยั่งยืนนายถนอม สุริยะ หัวหน้ากลุ่มส่งเสริมและพัฒนาการผลิต สำนักงานเกษตรจังหวัดลำพูน กล่าวว่า จังหวัดลำพูนเริ่มเพาะปลูกลำไยอย่างจริงจังตั้งแต่ปี 2520 โดยมีการเปลี่ยนแปลงนาเป็นพื้นที่เพาะปลูกลำไย นับถึงปัจจุบันจังหวัดลำพูน มีพื้นที่เพาะปลูกลำไยรวม 2 แสน 7 หมื่นไร่ ขณะที่จังหวัดเชียงใหม่มีจำนวนพื้นที่การเพาะปลูกมากกว่าที่ 3 แสน 3 หมื่นไร่ แต่หากเปรียบเทียบความกว้างของพื้นที่แล้ว จึงทำให้จังหวัดลำพูนได้รับการขนานนามว่า “ลำพูน คือ ลำไย ลำไย คือ ลำพูน” เนื่องจากมีความหนาแน่นของการเพาะปลูกมากว่า ขณะที่ 8 จังหวัดภาคเหนือตอนบนมีพื้นที่เพาะปลูกลำไยอยู่ที่ 8 แสน 8 หมื่นไร่ และทั่วทั้งประเทศอยู่ที่ 1 ล้านไร่โดยประมาณ
หัวหน้ากลุ่มส่งเสริมและพัฒนาการผลิต กล่าวเพิ่มเติมว่าในปี 2555 นี้ จังหวัดลำพูนจะมีผลผลิตออกสู่ท้องตลาดประมาณ 1 แสน 7 หมื่นตัน กำหนดว่าจะจำหน่ายเป็นผลผลิตสดร้อยละ 60 แปรรูปร้อยละ 40 และยังได้สะท้อนปัญหาที่เกษตรกรชาวสวนลำไยลำพูนพบว่า ต้นลำไยที่ให้ผลผลิตในปัจจุบันมีอายุยาวนาน ส่งผลให้ผลิตที่ได้มีคุณภาพไม่เป็นไปตามาตรฐานที่กำหนด ขณะเดียวกันเป็นสวนลำไยของเกษตรกรรายย่อยซึ่งไม่คุ้มค่าต่อการลงทุน ประกอบกับสภาพอากาศในปัจจุบันมีการเปลี่ยนแปลงไปจึงเป็นผลต่อการติดดอกออกผลของลำไยลำพูนด้านนางสุมิตรา อภิชัย สหกรณ์จังหวัดลำพูน เปิดเผยว่า ปัจจุบันลำไยลำพูนสามารถกระจายผลผลิตไปสู่ความต้องการของผู้บริโภคระดับบน ทั้งในและนอกประเทศเป็นจำนวนมาก แต่ผลผลิตลำไยลำพูนที่ได้มาตรฐานนั้นยังไม่เพียงพอต่อความต้องการ สาเหตุส่วนหนึ่งมาจากเกษตรกรไม่เลือกที่จะขายลำไยลักษณะสดช่อ เพราะราคาส่วนต่างของการรูดร่วงดึงดูดใจไม่เพียงพอ ขณะที่ค่าจ้างแรงงานนั้นพบว่าเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่ราคาผลผลิตไม่มีการปรับขึ้น นอกจากนี้ยังพบอุปสรรคว่า เกษตรกรยังไม่สามารถกำหนดลำไยให้เป็นมาตรฐานเดียวกันได้ ยังมีการปลอมปนผลผลิตคุณภาพด้อยกว่าอย่างต่อเนื่อง
นายเกรียงไกร ก้อนแก้ว นายกเทศมนตรีตำบลหนองช้างคืน ในฐานะปราชญ์เกษตรของแผ่นดินจังหวัดลำพูน ร่วมสะท้อนปัญหาว่า การผลิตลำไยลำพูนยังไม่เป็นไปตามหลักวิชาการอย่างแท้จริง ทั้งด้านของดิน พื้นที่เพาะปลูก และลำต้น เห็นได้จากจังหวัดลำพูนได้เปลี่ยนแปลงนามาเป็นพื้นที่ปลูกลำไย ดินในลักษณะดังกล่าวนี้ไม่เหมาะสมต่อการเพาะปลูกลำไย เพราะรากของลำไยไม่สามารถลงไปได้ลึกเพียงพอ ซึ่งตามหลักวิชาการแล้วรากจะต้องหยั่งลึกลงไปในดินประมาณ 1 เมตร ประกอบกับเกษตรกรส่วนใหญ่ยังเห็นว่าหากได้จำนวนผลผลิตมาก ติดดอกออกผลทุกปีจะเป็นการเพิ่มรายได้ โดยไม่คำนึงถึงคุณภาพของผลผลิตที่ได้รับ ต้นลำไยในปัจจุบันจึงทรุดโทรมตามกาลเวลา ขณะเดียวกันความต้องการด้านของแรงงานที่ไม่เพียงพอยังเป็นอีกปัจจัยที่ยากต่อการก้าวสู่ความยั่งยืนได้นายวิชาญ จาระธรรม สมาชิกสภาเกษตรกรแห่งชาติจังหวัดลำพูน มองปัญหาที่ทำให้ลำไยลำพูนไม่สามารถพัฒนาสู่ความยั่งยืนได้ คือ ราคาลำไยที่เกษตรกรไม่สามารถกำหนดเองได้ ยังต้องให้ตลาดปลายทาง ซึ่งเป็นตลาดเดียวนั้น เป็นผู้กำหนด บางปีเกษตรกรพอคุ้มทุน บางปีเกษตรกรพอมีกำไร แต่บางปีเกษตรกรไม่เหลือแม้แต่ต้นทุนการผลิต เหลือเพียงหนีสินที่ต้องผ่อนชำระแบบทบต้นทบดอกต่อไป พร้อมทั้งระบุอีกว่า ตั้งแต่เริ่มเป็นเกษตรกรทำสวนลำไยมาจนถึงปัจจุบันเกือบ 40 ปี ยังไม่เคยพบว่าราคาลำไยในท้องตลาดปรับเพิ่มตามต้นทุนการผลิตที่เพียงพอเลย
ด้านตัวแทนจากแหล่งสนับสนับสนุนเงินทุนอย่างธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธกส.) นายวิทยา อุปพงษ์ ผู้จัดการ ธกส. สาขาป่าซาง ให้ข้อมูลว่า กว่า 10 ปีแล้ว ที่เกษตรกรชาวสวนลำไยมีหนี้สินผูกพันกับ ธกส. นับรวมมูลค่าหนี้สินของเกษตรกรเชียงใหม่-ลำพูน มีวงเงินประมาณหมื่นล้านบาท ด้วยเหตนี้ ธกส.จึงมีโครงการสำรวจปัญหาที่เกษตรกรไม่สามารถผ่อนชำระหนี้สินได้ตามกำหนด และจากการศึกษาและเก็บข้อมูลพบว่าเกษตรกรนำเงินกู้ที่ได้รับ มาแก้ปัญหาเฉพาะหน้า ไม่ได้แก้ปัญหาที่ต้นเหตุ ซึ่งคือการเพิ่มคุณภาพและการลดต้นทุนอย่างจริงจัง
นอกจากนี้ตัวแทนชาวสวนลำไยลำพูนที่เข้าร่วมเสวนาลำพูนคือลำไย ลำไยคือลำพูน สู่การพัฒนาที่ยั่งยืน ดร.นิกร ยาอินตา เห็นว่าเกษตรกรผู้ปลูกลำไยส่วนใหญ่ทำการเพาะปลูกด้วยความไม่เข้าใจและไม่ใส่ใจอย่างจริงจัง เป็นการดำเนินการผลิตที่หลงเชื่อการใช้เทคโนโลยีใหม่ๆ ที่ทำให้ต้นทุนการผลิตเพิ่มสูงขึ้น มีการเลือกใช้สารเคมีหรือปุ๋ยเคมี ส่งผลให้ต้นลำไยที่มีอายุยาวนานเสื่อมโทรมลง และมองไม่เห็นแนวทางเพื่อการฟื้นฟูที่ถูกต้องจากการสะท้อนปัญหาของตัวแทนจากส่วนต่างๆและเกษตรกรชาวสวนลำไยลำพูน พอจะมองได้ว่าเกษตรกรผู้ปลูกลำไยลำพูนยังมีปัญหาด้านการผลิต ที่เป็นอุปสรรคให้ลำไยลำพูนนั้นไม่สามารถพัฒนาสู่ความยั่งยืนได้ โดยหากปล่อยให้สถานการณ์ลำไยเดินทางในลักษณะที่เป็นปัญหาดังกล่าวเหล่านี้ ท้ายที่สุดการประกอบอาชีพชาวสวนลำไยจะลดน้อยลงอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ หากเริ่มหาแนวทางเพื่อแก้ไขปัญหาและเริ่มดำเนินการกันตั้งแต่วันนี้ คงสามารถยื้อเวลาอาชีพเกษตรกรผู้ปลูกลำไยต่อไปได้อีกระยะหนึ่งก่อนที่จะเหลือเพียงประวัติศาสตร์ให้ลูกหลานได้ศึกษาเท่านั้นนายถนอม สุริยะ หัวหน้ากลุ่มส่งเสริมและพัฒนาการผลิต สำนักงานเกษตรจังหวัดลำพูน กล่าวว่า ช่วงนี้เกษตรกรกำลังเก็บเกี่ยวผลผลผลิต จึงอยากให้เกษตรกรผู้เป็นเจ้าของสวนได้ใส่ใจการเก็บเกี่ยวอย่างถูกวิธี โดยไม่หักกิ่งลำไยยาวเกินความจำเป็นเพราะเห็นว่าเก็บเกี่ยวง่าย ควรหักตรงต้นขั้วของพวงลำไย เพราะจะเป็นการตัดแต่งกิ่งลำไยไปพร้อมเดียวกัน ส่วนแนวทางการดำเนินการเพื่อส่งเสริมลำไยลำพูนอย่างยั่งยืนนั้น ขณะนี้ภาครัฐได้ขอสนับสนุนงบประมาณจากรัฐบาลจำนวน 800 ล้านบาท เพื่อมาดำเนินการส่งเสริมลดต้นทุนการผลิต และเพิ่มผลผลิตต่อไร่ให้สูงขึ้น พร้อมเดียวกันยังเน้นเรื่องความปลอดภัยและปรับปรุงลำไยไปพร้อมกัน ผ่านกลยุทธ์ที่กำหนดไว้ คือ จะต้องเพิ่มสัดส่วนผลผลิต AA ต่อสวนให้มากขึ้น สนับสนับสนุนส่งเสริมให้ความรู้ทางวิชาการแก่เกษตรกรพร้อมกับสนับสนุนงานวิจัยเพื่อการพัฒนาผลผลิตให้เหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบัน มองหาแนวทางการยกระดับราคาลำไยและส่งเสริมแนวทางการประชาสัมพันธ์ให้เห็นคุณค่าของลำไยลำพูน และลำไยภาคเหนือต่อไป
นางสุมิตรา อภิชัย สหกรณ์จังหวัดลำพูน เห็นว่าแนวทางที่เกษตรกรจะต้องดำเนินการให้สอดคล้องกับตลาดที่ผู้บริโภคต้องการ คือการเพิ่มคุณภาพลำไยให้ได้มาตรฐาน โดยอาจดำเนินการผ่านรูปแบบของสหกรณ์ในพื้นที่ได้ ยืนยันพร้อมสนับสนุนเงินทุนเพื่อพัฒนาผลผลิตให้ได้คุณภาพ มุ่งพัฒนาสหกรณ์ในพื้นที่เข้มแข็งแบบพี่ช่วยน้อง เพื่อให้เกษตรกรสามารถยืนหยัดด้วยตัวเองได้อย่างยั่งยืนนางเกรียงไกร ก้อนแก้ว นายกเทศมนตรีตำบลหนองช้างคืน ในฐานะปราชญ์เกษตรของแผ่นดินจังหวัดลำพูน กล่าวสนับสนุนแนวทางเพื่อพัฒนาคุณภาพผลผลิตลำไยว่า เกษตรกรควรก้าวตามยุคสมัยอย่างรู้เท่าทัน เรียนรู้หลักวิชาการมาปรับใช้พร้อมกับนำเทคโนโลยีมาใช้อย่างเข้าใจ ขณะเดียวกันหน่วยงานของกระทรวงเกษตรจะต้องสนับสนุนข้อมูลด้านวิชาการในการพัฒนาคุณภาพผลผลิตอย่างจริงจัง ก่อเกิดความเชื่อและความศรัทธาจากสิ่งที่ได้เห็นผลว่าเป็นจริงได้ แนะเกษตรกรคืนสู่แนวทางทำการเกษตรแบบอินทรีย์เพื่อการยืดอายุต้นลำไยให้นานกว่าเดิม
ด้านสถาบันเงินทุนหลักของเกษตรกรอย่าง ธกส. นายวิทยา อุปพงษ์ ผู้จัดการ ธกส. สาขาป่าซาง กล่าวเน้นย้ำว่า ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรนั้น มีนโยบายที่จะสนับสนุนเงินทุนให้เกษตรกร เพื่อให้เกษตรกรสามารถพึ่งพาตนเองได้นั้น พร้อมที่จะสร้างโอกาสและสร้างรายได้ให้เกษตรกรไปพร้อมเดียวกันด้วย แต่อย่างไรก็ตามหากเกษตรกรผู้ปลูกลำไยได้มุ่งเน้นพัฒนาคุณภาพอย่างจริงจัง ขณะเดียวกันสามารถที่จะศึกษาหาแนวทางเพื่อลดต้นทุนการผลิต ไม่ว่าจะเป็นการทำลำไยนอกฤดู หรือการแปรรูป ประกอบกับภาคส่วนที่เกี่ยวข้องได้ร่วมกันมองหาตลาดที่กว้างขึ้น จะสามารถทำให้ลำไยไม่กลายเป็นเพียงประวัติศาสตร์ไปอย่างแน่นอนนายวิชาญ จาระธรรม สมาชิกสภาเกษตรกรแห่งชาติจังหวัดลำพูน แนวทางที่จะทำให้ราคาผลผลิตลำไยนั้นสูงขึ้นตามต้นทุนการผลิตแล้วนั้นว่า สิ่งที่จะทำให้เกษตรกรสามารถกำหนดราคาขายลำไยเองได้ คือการทำลำไยให้เป็นที่ต้องการของตลาดอย่างแท้จริง ผลผลิตที่ได้จะต้องมีคุณภาพควรค่าต่อการต่อรองราคา ดังนั้น วันนี้เกษตรกรจึงควรทำสวนลำไยด้วยใจที่มุ่งมั่น ศรัทธา ทำบนพื้นฐานของความเข้าใจ ระบุ ต้นลำไยไม่มีปากที่จะบอกได้ว่าต้องการหรือไม่ต้องการสิ่งใด แต่เกษตรกรสามารถทำตามความต้องการของต้นลำไยได้ จากการสังเกตใส่ใจและเรียนรู้อย่างสม่ำเสมอ
ดังนั้นสิ่งที่ได้จากการเสวนาในครั้งนี้ ทำให้รู้ว่าแนวทางเพื่อการพัฒนาลำไยอย่างยั่งยืนนั้น คือ เกษตรกรจะต้องพัฒนาการผลิตลำไยเพื่อให้ได้มาซึ่งลำไยที่ได้มาตรฐานมีคุณภาพอย่างแท้จริงสุดท้ายแล้วแนวทางการแก้ปัญหาลำไยในปัจจุบัน ตลอดจนการทำให้ลำไยให้ก้าวสู่การพัฒนาที่ยั่งยืนได้นั้น คงไม่ได้เกิดจากปัจจัยหลักที่ขาดงบประมาณในการดำเนินการ หรือจะต้องรอส่วนงานใดเอื้อมมือเข้ามาช่วย แต่น่าจะเป็นการเริ่มต้นจากการลงทุนด้วยความศรัทธา ด้วยความมุ่งมั่น ตั้งใจของเกษตรกรที่จะนำมาเพื่อความสำเร็จบนพื้นฐานของความพอเพียง
“วันนี้ผมว่าเกษตรกรควรหันมาน้อมนำแนวทางตามพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มาปรับใช้ในการทำสวนลำไยบนพื้นที่ไม่มากด้วยการยึดหลักความพอเพียง เลือกทำการเกษตรกรแบบผสมผสาน ซึ่งจะช่วยให้เกษตรกรยังมีสวนลำไยต่อไป และพอมีกำไรจากอาชีพเกษตรกร” ดร.นิกร ยาอินตา กล่าว