สลากภัต สลากย้อม หลอมวิญญาณ์แม่ญิงยอง

สลากภัต สลากย้อม หลอมวิญญาณ์แม่ญิงยอง
โดย Pensupa Sukkata Jai Inn เมื่อ 24 สิงหาคม 2012 เวลา 13:29 น


ช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมามีหลายท่านสอบถามดิฉันอยู่เนืองๆ ว่าไฉนงานบุญวันสารทของลำพูนจึงใช้ชื่อพิสดารว่า "สลากภัต สลากย้อม" ในขณะที่จังหวัดอื่นๆ ทั่วล้านนาใช้คำว่าประเพณี "ตานก๋วยสลาก" กันอย่างกว้างขวาง

"สลากย้อม" คืออะไร เหมือนหรือต่างกับสลากภัตในมิติไหนไหม ใครเป็นคนต้นคิด ดำรงอยู่ สูญหาย และหวนคืนมาได้อย่างไร การปรากฏอยู่แค่เพียงในลำพูนจังหวัดเดียว มันซ่อนนัยยะอันใดถึงเบื้องหลังถ้อยวลีนั้น?

แม่ญิง-ยอง-แต่งหย้อง-สลากย้อม

ศัพท์แสงสี่คำข้างบนนี้ มีความจำเป็นต้องแปล "ไท" ให้เป็น "ไทย"

เริ่มตั้งแต่ "แม่ญิง" แน่นอนว่าหมายถึงผู้หญิง แปลกใจล่ะสิที่คนเหนือไม่นิยมใส่ตัว "ห" ซ้ำเวลาอ่านต้องเน้นเสียง "นาสิก" แบบขึ้นจมูกหน่อยๆ

ถัดมาคือ "ยอง" ประชากรกลุ่มใหญ่ที่สุดของลำพูน เป็นชาติพันธุ์ไทลื้อที่ถูกกวาดต้อนแบบเทครัวจากเมืองยองในพม่าใกล้เขตเชียงตุง เข้ามาตั้งรกรากในลำพูนเมื่อ ๒๐๐ กว่าปีก่อน

มาเจอคำว่า "หย้อง" เข้าไปอีก อย่าคิดว่าเป็น "โทโทษ" ของคำว่า "ย่อง" ไม่ใช่ ย่องแย่ง หรือย่องเบา ทว่าละม้าย "ยกย่อง" การแต่งหย้องก็คือ การพิถีพิถันประจงประดิษฐ์อย่างวิจิตรประณีต

คำสุดท้ายนั้นสำคัญยิ่ง ทำไมต้องเอาสลากไป "ย้อม" ก็เพราะคนสมัยก่อนเงินทองหายาก เวลาเสื้อผ้าเก่าจะทำให้ดูใหม่ ก็ต้องใช้วิธีการย้อมให้ดูสวยงามขึ้น

เมื่อนำคำ "สี่ยอ" นี้มาอยู่ด้วยกัน แม่ญิง ยอง แต่งหย้อง และสลากย้อม ย่อมสะท้อนให้เห็นอัตลักษณ์ของงานประเพณีสลากภัตแห่งเมืองลำพูน ว่างานนี้มีโจทย์ตัวตั้งว่าด้วยเรื่องของผู้หญิง ชาวยอง ความมานะพยายาม และความงาม

ทั้งหมดทั้งมวลนี้ทำไปเพื่อสิ่งใด เกี่ยวข้องอะไรไหมกับงานบุญเดือนสิบของชาวไทยสี่ภาค

หนึ่งประเพณี สี่ภูมิภาค หลากสรรพนาม

จะว่าไปแล้วงานสลากย้อม ก็คือรูปแบบหนึ่งของเทศกาลวันสารทไทยนั่นเอง มีจุดเป้าหมายอยู่ที่การทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้แก่ "เปรต-สัมภเวสี" จะต่างกันก็ที่รายละเอียดปลีกย่อย ว่าภาคไหนให้ความสำคัญแก่สิ่งใดมากกว่า จึงตั้งชื่อเรียกตามจุดเน้นนั้นๆ

อีสานเรียก "งานบุญข้าวสาก" โฟกัสไปที่ฤดูกาลเก็บเกี่ยวข้าวหอมถั่วงาใหม่หมาดแล้วนำมากวนเป็นข้าวทิพย์หรือกระยาสารทถวายพระไตรรัตน์ พร้อมแจกจ่ายคนร่วมงาน

ปักษ์ใต้เรียก "ประเพณีชิงเปรต" ยิงตรงเป้าชี้เปรี้ยงถึงวัตถุประสงค์ของการทำบุญให้ชัดๆ ไปเลย ว่างานนี้ตั้งใจทำบุญให้คนตาย ที่ยังเร่ร่อนล่องลอยอยู่ตามภพภูมิต่างๆ

ทางเหนือเรียก "กิ๋นก๋วยสลาก" หรือ "ตานก๋วยสลาก" ก๋วยเป็นตะกร้าสานที่ใส่เครื่องไทยทาน ฟังดูก็รู้ว่าภาคนี้เน้นที่การตกแต่ง "ต้นสลากสูงใหญ่" โดยสมมติว่าเท่ากับความสูงของเปรต เมื่อมารับบุญในโลกมนุษย์จะได้ไม่ต้องย่อตัวมาก

ไม่มีเทศกาลใดอีกแล้วที่จะมีชื่อเรียกที่รุ่มร่วยหลากหลายมากเท่ากับชื่อเรียกงานบุญเดือนสิบ ที่ยกตัวอย่างของแต่ละภูมิภาคมานี้ก็เป็นแค่คร่าวๆ เท่านั้น หลายจังหวัดยังมีชื่อเรียกในท้องถิ่นที่แยกย่อยอีกมากมาย

ขอเปิดพื้นที่แด่อิตถีเพศ

จากความเชื่อที่บ่มเพาะกันมานานในสังคมอุษาคเนย์ว่า "เพศหญิงนั้นบวชเรียนไม่ได้ โอกาสที่จะบรรลุธรรมนั้นก็ยากยิ่ง!"

ประโยคจี้จุดแทงใจดำนี้เองที่ทำให้แม่ญิงยองลำพูนต้องลุกขึ้นมาเรียกร้องให้มีการเปิดพื้นที่ ไหนๆ บุรุษก็เป็นเจ้าของ "พื้นที่ทางธรรมะ" แบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาดแล้วทุกตารางนิ้วของพระพุทธศาสนา

หากจะขอแบ่งปันสักเวทีหนึ่งในรอบปี คืองานเทศกาลวันสารทมาให้แม่ญิงดำเนินการเองในฐานะเจ้าภาพหรือเรียกให้ชัดๆ ว่าขอรับบทเป็น "นางเอก" บ้าง ไม่ใช่นางรอง หรือตัวประกอบผู้อยู่เบื้องหลัง ไม่ทราบว่าคุณผู้ชายทั้งหลายจะมีอะไรขัดข้องไหม?

ปรากฏว่าผู้ชายยองก็ใจป้ำพอสมควร พ่อแม่ของหญิงสาววัยรุ่นต่างสนับสนุนกุลธิดาด้วยความยินดียิ่ง หากแต่ต้องพึงสังวรไว้ด้วยว่า นี่ไม่ใช่งานสนุกสนานเฮฮาแค่เอาสิ่งของกระจุกระจิกมาประดับผูกติดบนต้นไม้เหมือนเด็กเล่นขายของ หรือแค่แต่งตัวงามเฉิดมาเดินกรีดกราย ยกสังฆทานประเคนพระสงฆ์หน้าฉากเท่านั้นนะ

หากนางต้องเก็บหอมรอมริบเงินทองที่หามาได้ทั้งชีวิตจากการขายหอมกระเทียมลำไย เพราะงานนี้ต้องใช้งบประมาณสูง นับแต่การเตรียมต้นสลากเครื่องไทยทานทั้งหมดด้วยตัวเอง ไหนจะข้าวปลาอาหารอีกหลายมื้อที่ต้องเลี้ยงดูปูเสื่อคนทั้งหมู่บ้าน

ยิ่งสาวบ้านใดเกิดใจใหญ่อยากแข่งขันให้ใครๆ เห็นว่าเธอมีวิริยะอุตสาหะสูงมากกว่าสาวบ้านอื่น เธอก็ต้องยิ่งเดินสายบอกบุญสิบนิ้ววันทา ขอชาวบ้านให้ร่วมด้วยช่วยกันคนละไม้คนละมือเพิ่มความอลังการของต้นสลาก ก็เท่ากับเป็นความเหนื่อยยกกำลังสอง แต่จะเป็นไรไปเล่า พ่อแม่พี่น้องลุงป้าน้าอาปู่ย่าตายายคงเต็มใจช่วยอยู่หรอก เพื่อศักดิ์ศรีของแม่ญิงยองบ้านเฮา

นี่คือเวทีที่จะพลิกชีวิตพวกเธอ เพราะแม่ญิงทุกคนมีสิทธิ์เป็นเจ้าภาพได้แค่เพียงครั้งเดียวเท่านั้น ห้ามผูกขาด ปีต่อๆ ไปต้องหมุนเวียนให้ลูกสาวครอบครัวอื่นได้แสดงบทบาทนี้บ้าง ฉะนั้นเมื่ออาสามาเป็นเจ้าภาพปีใดแล้วต้องทุ่มเทเต็มที่ หากพลาดแล้วพลาดเลย จะหมู่หรือจ่าก็ต้องยอมรับ

นั่นต้นอะไรสูงเหยียดเสียดฟ้า ราวภูผาแห่งความรัก

จุดเริ่มต้นของ "สลากย้อม" กำเนิดในย่านสวนลำไยรายรอบแม่น้ำปิงเก่า-ปิงห่าง แถวตำบลริมปิง ประตูป่า อุโมงค์ เหมืองง่า ของอำเภอเมืองลำพูน เหตุเพราะดินแดนแถบนี้ได้รับฉายาว่าเป็นแหล่งดินดำน้ำชุ่มผลไม้ดกชุก สาวๆ ย่านนี้ถูกยกย่องให้เป็น "แม่เลี้ยง" หรือ "เศรษฐินีลำไย"และเป็นที่หมายปองของหนุ่มๆ บ้านอื่น

ไหนๆ ก็เนื้อหอมอยู่แล้ว แต่หากจะขอเป็น "สวยเลือกได้" อีกระดับหนึ่งด้วยจะได้ไหม เพื่อปิดโอกาสมิให้หนุ่มบ้านๆ ติดไพ่ไก่ชน ที่จู่ๆ คิดจะมาสู่ขอเธอด้วยหวังจะตกถังข้าวสาร ต้องใคร่ครวญให้มากกว่าเดิม

ว่าคุณมีองค์ประกอบสี่ตามหลักธรรมของคฤหัสถ์ว่าด้วยความเหมาะสมของคนที่จะเป็น "เนื้อคู่"กันนั้นหรือเปล่า

๑. ทาน ต้องเสมอกัน คุณลองแหงนดูต้นสลากของฉันสักนิดว่ามันสูงแค่ไหน นั่นยังน้อยกว่าแรงทานที่ฉันจะต้องเร่งทำในชาตินี้

๒. ศีล ต้องเสมอกัน สิ่งของปัจจัยที่ฉันนำมาทำบุญ เกิดจากน้ำพักน้ำแรงของสาวชาวสวนผู้ซื่อสัตย์สุจริต ไม่เคยไปลักไปโกงใครแบบทุศีล และฉันมิใช่ผู้หญิงเสเพลที่ติดน้ำเมาบ้าหวยแย่งผัวชาวบ้าน เพราะหากฉันไม่มีศีลมีสัตย์ ฉันก็คงไม่สามารถเก็บออมเงินนั้นมาเป็นเจ้าภาพงานบุญใหญ่นี้ได้

๓. ปัญญา ต้องเสมอกัน กว่าฉันจะประดิดประดอยออกแบบต้นสลากย้อมให้น่ามอง แสดงว่าขี้หมูขี้หมาฉันก็ต้องเป็นนักวางแผนตัวฉกาจพอควร แม้ฉันจะไม่ได้เรียนหนังสือสูง และไม่มีโอกาสบวชเป็นพระแบบพวกคุณ

๔. จาคะ ต้องเสมอกัน คุณใจใหญ่เท่าฉันไหมเล่า ฉันทุ่มเทอุทิศชีวิตทั้งชีวิตที่เกิดมาเป็นลูกผู้หญิงก็เพื่องานนี้ และหากใช้ชีวิตคู่อยู่ด้วยกันต่อไป เกิดคุณงกไม่ยอมบริจาคเอื้อเฟ้ือปัจจัยแก่คนมาขอเรี่ยไรบุญ จะอยู่กับคนใจคอกว้างขวางอย่างฉันได้ล่ะหรือ


หากองค์ประกอบคุณไม่ครบสี่ข้อ ต่อให้รวยให้หล่อให้ล่ำแค่ไหน ก็อย่าหมายมาร่วมชาติกันเลย เพราะขืนร่วมเตียงไปเดี๋ยวก็ต้องหักโครม

อ้อ! ทำบุญมาเกือบตาย แท้ก็มีวัตถุประสงค์แค่เสาะหาคู่ครองที่ถูกสเป็คเท่านั้นรึ?

หามิได้ การเป็นเจ้าภาพจัดงานสลากย้อมของแม่ญิงยองนั้น นัยยะของนางรจนาแอบส่งสัญญาณเสี่ยงมาลัยเลือกชายหนุ่มที่คู่ควรสมฐานะสมศักดิ์ศรีนั้่นเป็นแค่ผลพลอยได้ ทว่าการขอเปิดพื้นที่ให้สตรีเพศได้ทุ่มทำบุญใหญ่สักครั้งในชีวิต สำหรับบันไดก้าวแรกเปิดประตูสู่นิพพานนั้นยังคงเป็นเหตุผลหลัก

แต่ก็ไม่ควรลืมว่า การเลือกคู่ครองในชีวิตของแม่ญิงคนหนึ่งนั้น ย่อมถือว่ามีความสำคัญไม่น้อยไปกว่างานบุญ เพราะหากเลือกคนผิดก็เท่ากับปิดหนทางบุญไปทั้งชาตินี้และชาติไหนๆ

สลากย้อมหายไป ลมหายใจอันรวยริน

ปี ๒๕๑๐ เกิดทุพพิกขภัย ข้าวยากหมากแพงทั่วประเทศ ต่อให้เป็นถึงเศรษฐินีลำไยต่างก็ได้รับผลกระทบเรื่องขาดแคลนน้ำอุปโภคบริโภคกันถ้วนหน้า วิกฤตภัยแล้งปีนั้น ส่งผลให้คนยองลำพูนจำนวนไม่น้อยต้องอพยพดิ้นรนออกไปเสาะแสวงหาที่ดินทำกินใหม่แถบเมืองฝาง เชียงแสน และพะเยา

ประเพณี "สลากย้อม" ที่เคยคึกคักเสมือนสีสันแห่งเดือนกันยาพลอยปิดฉากลงสนิทตั้งแต่บัดนั้นตามไปด้วย ลบเลือนหายไปนานกว่าสามทศวรรษ เพิ่งได้รับการปัดฝุ่นอีกครั้งเมื่อหลัดๆ นี้เอง

ภายใต้ชื่อ "สลากภัต – สลากย้อม" ที่สร้างความงงงวยแม้แต่ท่ามกลางหมู่คนล้านนาเอง ว่างานนี้โผล่มาจากไหน Fake หรือเปล่า น้อยคนนักที่จะรู้ว่าประเพณีดังกล่าวถูกตัดตอนขาดหายไปอยู่ช่วงหนึ่ง

เมื่อราวหกปีก่อน องค์การบริหารส่วนจังหวัดลำพูนพยายามฟื้นฟูขึ้นมาใหม่ แต่ก็ทำไปแบบผิดฝาผิดตัว เพราะเป็นการจัดสรรงบประมาณไปลงที่ "วัด" มิใช่ชุมชน วัดต่างๆ จึงมอบหมายให้พระหนุ่มเณรน้อยแข่งขันกันประดิษฐ์ต้นสลากคล้ายลิเกสูงใหญ่ลิบลิ่วแหงนคอตั้งบ่า ชนิดที่ว่าสามารถเรียกกินเนสบุ๊กมาบันทึกสถิติได้เลย

ผิดทั้งวัตถุประสงค์ เพี้ยนทั้งปรัชญาดั้งเดิม เพราะไม่ใช่การเปิดพื้นที่ให้อิตถีเพศผู้ไม่มีโอกาสบวชเรียน

แต่แล้วก็มีคำถามตามมาว่า บริบทของผู้หญิงสมัยนี้แตกต่างจากสมัยก่อน ยังจะมีสาววัยรุ่นอนงค์ไหนอาสามาเป็นเจ้าภาพงานสลากย้อมนี้อยู่อีกล่ะหรือ ในเมื่อแม่ญิงได้เรียนหนังสือสูงขึ้น และมีสถานะทัดเทียมชายแล้ว

ยิ่งการหาคู่ชีวิตของสาวๆ สมัยนี้ก็ง่ายแสนง่ายและเปิดเผย ไม่ต้องไปพึ่งพากุศโลบายการแอบประกาศตัวตนผ่านพิธีกรรมว่าฉันเป็นกุลสตรีหรือเบญจกัลยาณีผู้เพรียบพร้อมผ่านงานสลากย้อมนั้นอีกแล้ว

มาสู่คำถามที่ว่า แล้วเราจะปล่อยให้คำว่า "สลากย้อม" ซึ่งมีจุดเริ่มต้นมาจากแรงศรัทธาของแม่ญิง ถูกนำไปเรียกใช้แบบผิดบริบท ต่อไปเรื่อยๆ เลยตามเลยเช่นนั้นหรือ

มีประโยชน์อันใดเล่า กับความสูงใหญ่ฉูดฉาดบาดตา เปลือกนอกที่ไร้แก่นสาร ถ้าเช่นนั้นเห็นสมควรให้เมืองลำพูนกลับไปใช้ชื่อ "สลากภัต" หรือ "ตานก๋วยสลาก" เหมือนจังหวัดอื่นๆ ใช่ไหม

เปล่าเลย คงชื่อสลากย้อมไว้นั่นแหละ แต่ต้องปรับวิธีคิดและเปลี่ยนตัวเจ้าภาพใหม่ วัดควรทำหน้าที่รอสอยสลากจากขบวนแห่ที่ขับเคลื่อนมาจากแต่ละหมู่บ้าน มิใช่มานั่งทำต้นสลากกันเสียเอง ข้อสำคัญต้องขอทวงคืนพื้นที่แก่สตรีชาวยอง ให้รับเป็นเจ้าภาพที่จะทำต้นสลากย้อมนั่น

เอาเถิด สอง-สามปีที่ผ่านมานี้ ค่อยๆ เห็นนิมิตหมายของความเปลี่ยนแปลงทีละน้อยๆ บ้างแล้ว โดยทางจังหวัดขอแรงให้หัวหน้าส่วนราชการสตรีทุกหน่วยงานรับเป็นเจ้าภาพต้นสลากย้อม เราได้แต่หวังว่าปีหน้าฟ้าใหม่ จะมีแม่ญิงยองที่มีจิตสำนึก คิดจะอนุรักษ์สืบสานประเพณีนี้ลุกขึ้นมาปวารณาตัวประกาศตนเป็นเจ้าภาพด้วยตัวเอง ไม่ใช่ในลักษณะจัดตั้งหรือกะเกณฑ์บังคับ นานเพียงใดอีกกี่ปีเรายังคงเฝ้ารอ...

ขอบคุณข้อมูลจาก FB โดย Pensupa Sukkata Jai Inn
Pensupa Sukkata Jai Inn

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

จังหวัดลำพูนเร่งฟื้นฟูวัฒนธรรมประเพณีอันทรงคุณค่าของชนเผ่ากะเหรี่ยง พร้อมอนุรักษ์สืบสานให้คงอยู่สืบไป

รายงานสถานการณ์อุทกภัยลำพูน (7 ต.ค. 54)

จังหวัดลำพูน จัดชุดปฏิบัติการระดมกวาดล้างอาชญากรรม เพื่อเป็นการสร้างความมั่นใจ ให้กับประชาชนและนักท่องเที่ยวในการเดินทางมาร่วมเทศกาลลอยกระทงของจังหวัดลำพูน